อันตรกิริยาระหว่างยาและสมุนไพร

ปัจจุบันการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพรได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้น  จากนโยบายสาธารณสุขเน้นการผสมผสานการรักษาแพทย์แผนไทยและแผนตะวันออกเข้าด้วยกัน อีกทั้งผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาแผนปัจจุบันโดยใช้ยาสมุนไพรเข้ามาช่วยในการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับยาหลายขนาน แต่เนื่องจากสมุนไพรส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารเคมีจากธรรมชาติเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางชีวเคมี และถูกกำจัดออกจากร่างกายเช่นกัน เช่น cytochromes P450 เป็นต้น ดังนั้นเมื่อใช้สมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบัน อาจก่อให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยาและสมุนไพรได้

จากการศึกษาและวิจัย สามารถสรุปกลไกการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาและสมุนไพรได้ดังนี้

สมุนไพรกลไกผล
กระเทียมลดความดันโลหิตเสริมฤทธิ์ทำให้ความดันลงมาก
เหนี่ยวนำเอนไซม์ CYP3A4ระดับยาในเลือดลดลง
เหนี่ยวนำ P-glycoproteinระดับยาในเลือดลดลง
ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออก
ขมิ้นชันยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, 1A4ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
เหนี่ยมนำเอนไซม์ CYP2A6ระดับยาในเลือดลดลง
เจียวกู่หลานยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออก
ชะเอมยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4
ทองพันชั่งยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, 1A4, 2C6ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
บัวบกยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, 1A4ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
แปะก๊วยเหนี่ยวนำเอนไซม์ CYP3A4, 2C19
ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, 1A4, 2C9ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออก
มะรุมยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4 ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
มีผลลดความดันโลหิตเสริมฤทธิ์ทำให้ความดันลงมาก
รางจืดยับยั้งเอนไซม์ 1A4ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
ลูกใต้ใบยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, 1A4ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
โสมยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออก
หญ้าหนวดแมวยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4ระดับยาในเลือดสูงขึ้น
มีโพแทสเซียมเป็นองค์ประกอบสูง
เห็ดหลินจือยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออก

การแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs

แบ่งการแพ้ยาของยากลุ่ม NSAIDs ได้เป็น 2 แบบ

  1. ผ่านภูมิคุ้มกัน (True allergy)

กลไกการเกิดเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยใช้เวลาในการกระตุ้นภูมิประมาณ 1-2 สัปดาห์ 

แบ่งกลไกหลักได้ 2 แบบ

  1. แพ้ยาผ่าน IgE mediator (Type I)หรือ immediate hypersensitivity reaction 

ยา NSAIDs จะทำหน้าที่เป็น Hapten ไปจับกับ IgE กระตุ้นการหลั่ง mast cell และ Basophils ปล่อยสาร histamine ออกมา ทำให้เกิดอาการแพ้ ได้แก่ flushing, hypotension, bronchospasm, tachycardia, และ urticaria ซึ่งการแพ้ลักษณะนี้จะสัมพันธ์กับสูตรโครงสร้างของยา NSAIDs

  1. แพ้ยาแบบ Delayed type (Type III-IV)

เช่น MP rash, Fixed drug eruption, Steven Johnson Syndrome, TEN เป็นต้น

  1. ไม่ผ่านภูมิคุ้มกัน (Pseudoallergy/ Anaphylactoid)

กลไกการเกิดไม่เกี่ยวข้องกับทางระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จะเกิดอาการตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับยา เนื่องจากเกิดจากฤทธิ์ยาโดยตรง (Mechanism of action) แบ่งออกได้เป็น 2 อาการหลักๆ ดังนี้

2.1  Respiratory hypersensitivity

Aspirin-exacerbated respiratory disease (AERD) อาการแสดงเหมือนผู้ป่วยหอบหืด ได้แก่ asthma, rhinosinusitis, nasal polyposis, hypersensitivity อุบัติการณ์ 5-20% ในผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคหอบหืด กลไกที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ป่วยมีภาวะอักเสบเรื้อรังอยู่แล้ว ร่วมกับการที่ยา NSAIDs ทำให้เกิดความผิดปกติที่ Arachidonic acid pathway จึงเพิ่มการผลิต Sulfidoleukotriene ลด PGE2 และเพิ่มการสร้าง Leukotriene 

2.2  Cutaneous hypersensitivity

NSAIDs-induced cross reaction เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการ Urticaria หรือ Angioedema หลังจากที่ได้รับยาในกลุ่ม NSAIDs โดยที่ผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติโรคประจำตัวผื่นลมพิษมาก่อน กลไกเกิดจากการที่ตัวยาในกลุ่ม NSAIDs เข้าไปยับยั้งเอนไซม์ Cyclooxygenase (COX-1) ส่งผลให้เกิดการยับยั้งการสร้าง PGE2 และผลิตสารผ่าน Lipoxygenase pathway ทำให้ Mast cell ถูกกระตุ้นหลั่ง Histamine มากขึ้น ลักษณะการอาการจะคล้ายกับปฏิกิริยาการแพ้แบบ type I คือ angioedema และ urticaria 

2.3 Nonallergic Anaphylaxis 

เกิดจากกลไกผ่าน COX-1 เช่นเดียวกับ NSAIDs-induced cross reaction โดยจะมีอาการร่วมคือ bronchospasm และ anaphylaxsis

แนวทางการจัดการเมื่อผู้ป่วยแจ้งแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs

  1. ผ่านภูมิคุ้มกัน (True allergy)

หลีกเลี่ยงใช้ยา NSAIDs ที่มีโครงสร้างเดียวกัน เพื่อป้องกันการเกิดแพ้ยาซ้ำ

โครงสร้างยายา NSAIDs
SalicylatesAspirin, Diflunisal, Salicylate
Propionic acidsIbuprofen, Ketoprofen, fenoprofen, naproxen
Arylacetic acidsIndomethacin, Sulindac
FenamatesMefenamic acid
PyrrolopyrroleKetolac, Diclofenac
AnilidesParacetamol
OxicamsPiroxicam, Meloxicam
CoxibsEtoricoxib, Celeboxib, Parecoxib, Nimesulide
  1. ไม่ผ่านภูมิคุ้มกัน (Pseudoallergy/ Anaphylactoid)
  • เมื่อใช้ยา NSAIDs แล้วเกิด Pseudoallergy ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ยับยั้ง COX-1 ควรเลือกใช้ยาที่ยับยั้ง COX-2 (Specific COX-2) 
  • เมื่อผู้ป่วยให้ประวัติแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs มากกว่า 1 ตัว ที่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน ด้วยอาการ angioedema, urticaria, anaphylaxis ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ยับยั้ง COX-1 ควรเลือกใช้ยาที่ยับยั้ง COX-2 (Specific COX-2) และติดตามอาการหลังใช้ยา
  • กรณีผู้ป่วยมีประวัติหอบหืด ควรระวังการใช้ยากลุ่ม NSAIDs โดยเฉพาะที่ยับยั้ง COX-1
  • กรณีผู้ป่วยมีประวัติหอบหืด และเกิด Pseudoallergy จากการใช้ยากลุ่ม NSAIDs 1 ที่ยับยั้ง COX-1 ตัว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs
  • Paracetamol มีฤทธิ์ยับยั้ง COX-1 ได้น้อย (weak inhibitors of COX-1) จึงสามารถใช้ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงใช้ในขนาดสูง
ความจำเพาะเจาะจงต่อเอนไซม์ COXยา NSAIDsการจัดการเมื่อเกิด Pseudoallergy
COX-1/COX-2 inhibitorsAspirin, Diflunisal, Salicylate, Ibuprofen, Ketoprofen, fenoprofen, naproxen, Indomethacin, Sulindac Mefenamic acid, Ketolac, Diclofenac, Piroxicamหลีกเลี่ยงการใช้ยา
Weak COX-1/COX-2 inhibitorsParacetamol (high dose)เฝ้าระวังการใช้ยา
COX-2 SelectiveNimesulide,  Meloxicamเฝ้าระวังการใช้ยา
Specific COX-2 inhibitorsEtoricoxib, Celeboxib, Parecoxibปลอดภัย แต่ควรติดตามการใช้ยา

เอกสารอ้างอิง:

  1. L. Brunton, K. Parker, D. Blumenthal. Goodman & Gilman’s Manual of Pharmacology and Therapeutics. The Mcgraw-Hill. 2008, p428-455
  2. M. Borges. Clinical Management of Nonsteroidal Anti-inflammatory Drug Hypersensitivity. WAO journal. Vol1,No2, 2008.
  3. R. Asero. Clinical Management of Adult Patients with  a History of Nonsteroidal Anti-Inflamatory Drug-Induced Urticaria/Angioedema: Update. Allergy, Asthma, and Clinical Immunology, Vol3,No1,2007 
  4. M. Sanchez-Borges, A. Capriles-Hulett, F. Fonseca. The multiple faces of nonsteroidal anti-inflammatory drug hypersensitivity. J Invest Allergol Clin Immunol. 2004, Vol14(4), p329-334
  5. ธิดา นิงสานนท์, จันทิมา โยธาพิทักษ์. ตรงประเด็น เรื่อง Adverse Drug Reaction. กรุงเทพฯ: สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล(ประเทศไทย), 2549

ข้อควรระวังในการรับประทานยากลุ่ม Antithombolytic agent

ตัวยาสำคัญชื่อการค้าประเภทยารับประทานข้อแนะนำในการถอนฝัน/ผ่าตัด
WarfarinOrfarin, Befarin                Anticoagulantไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหาร2-5วัน(ตามคำแนะของแพทย์)
Rivaroxaban Xarelto                   Anticoagulantไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหาร
DabigatranPradaxa               Anticoagulantไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหาร24ชั่วโมง(เฉพามีความเสี่ยงสูง)
ClopidogrelPlavix, Apolet                   Antiplateletไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหารผ่าตัดเล็กไม่ต้องหยุด,หยุด5วัน
CilostazolPletaal, Pletaal powder                   Antiplateletไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหารผ่าตัดเล็กไม่ต้องหยุด,หยุด3วัน
TicagrelorBrilinta                  Antiplateletไม่จำเป็นต้องมีมื้ออาหารผ่าตัดเล็กไม่ต้องหยุด,หยุด3-5วัน
TriflusalGrendis               Antiplateletหลังอาหารทันทีหยุด7วัน
AspirinAscot, Aspent                Antiplateletหลังอาหารทันทีหยุด7วัน
Aspirin+GlycineCardipine           Antiplateletหลังอาหารทันทีหยุด7วัน
Clopidogrel+Acetyl salicylic acidCoaplavix       Antiplateletหลังอาหารทันทีหยุด7วัน
Aspirin+DipyridamolAggrenox     Antiplateletหลังอาหารทันทีหยุด7วัน
Enoxaparin SodiumClexane                Anticoagulant
Heparin SodiumHeparinolAnticoagulant
Tinzaparin SodiumInnohepAnticoagulant

หมายเหตุ  Anticoagulant คือ ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด

               Antiplatelet คือ ยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด

เอกสารอ้างอิง

Clopidogrel. In: The Merck Manual (online). 2010 Jan. Available from: URL:http://merck.com/mmpe/lexicomp.html

ศ.นพ.พันธุ์เทพอังชัยสุขศิริ. Management of Dabigatran. North-Eastern Thai Journal of Neuroscience. Vol 7, No 3, page 14-20

Charles F.Lacy, Lora L.Armstrong, Morton P.Goldman. Drug information handbook, 20th edition. Pharmacotherapy Handbook